Support
BeautyCareShop
085-6617359,082-0934716
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2012-05-04 20:48:09.0     Forum: สาระน่ารู้  >  กลูต้าไธโิอน

 

กลูต้าไธโิอน


     กลูต้าไธโิอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่คอยปกป้องร่างกายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีลักษณะเป็นโมเลกุลคล้ายธาตุิอาหารในร่างกายมนุษย์ กลูต้าไธโิอน ได้จากสองทางคือจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปและจากการผลิตขึ้นเองของร่างกายแต่กระบวนการแปรรูปอาหารส่วนมากจะทำลาย กลูต้าไธโิอน ทิ้งไป เพราะฉะนั้นอาหารที่มีส่วนผสมสำเร็จรูปผสมอยู่มากและมีของสดผสมอยู่น้อยจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขาดสาร กลูต้าไธโิอน

ความสำคัญของกลูต้าไธโิอนได้รับการพิสูจน์จากการศึกษาวิจัยมากกว่า 80,000 ครั้งด้วยกัน จึงไม่เป็นการเกินไปที่จะกล่าวว่ากลูต้าไธโิอนมีบทบาทสำคัญต่อการมีสุขภาพดี

คุณประโยชน์ของกลูต้าไธโิอนมากมายจนนับไม่ถ้วน เช่น

- ชลอกระบวนการแก่ตัวของร่างกาย

- เป็นสารขจัดพิษในร่างกายและทำให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้น

- เป็นซุปเปอร์สารต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย

- เป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

- ลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็ง

- เสริมการทำงานของสมอง

- เพิ่มพลังงาน-ลดระยะเวลาฟื้นตัวของร่างกายหลังกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากๆลดอาการปวด เจ็บและเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย

- เสริมการทำงานของหัวใจและปอด

- ส่งผลดีต่อการรักษาโรคต่างๆกว่า 60 ชนิด

 

กลูต้าไธโิอนลดลงด้วยสาเหตุอะไรอีกได้บ้าง

ปัจจัยด้านไลฟ์สสไตล์ นอนดึก เครียด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปหรือรับประทานยาซ้ำซ้อนหรือซื้อยาใช้เอง

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม รังสีอุลต้าไวโอเล็ต รังสีอิออนไนซ์ ควันเสีย ไขมันอิ่มตัวสารก่อมลพิษและสารเคมี

ความอ้วน ไขมันส่วนเกินทำให้เกิดภาวะ oxidative stress (คือภาวะที่มีอนุมูลอิสระมากมายเสียจนสารต้านอนุมูลอิสระมีไม่เพียง พอ) ในร่างกายซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งก็คือกลูต้าไธโอน

โรค โรคบางโรค เช่น เบาหวานประเภทที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคไต  โรคพาร์กินสัน โรคปอด โรคตาที่เนื่องมาจากอายุสูงขึ้น เช่น โรคต้อและจอประสาทตาเสื่อม ล้วนทำให้ระดับ กลูต้าไธโิอน ลดลงทั้งสิ้น

เมื่อไรก็ตามที่เกิดภาวะ oxidative stress ที่เนื่องมาจากปัจจัยต่อไปนี้อายุสูงขึ้น โรคภัย ไลฟ์สไตล์ สิ่งแวดล้อม กลูต้าไธโิอน อาจจะถูกนำไปใช้มากกว่าที่ร่างกายจะผลิตได้ทัน เพราะฉะนั้นอาหารเสริมที่มีกลูต้าไธโิอนจึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดและจำเป็น

 

 

guest

Post : 2012-05-04 20:44:27.0     Forum: สาระน่ารู้  >  ความรักทำให้อ้วน

 


ความรักทำให้อ้วน

 

     มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าชีวิตแต่งงานทำให้คุณสุขภาพดีขึ้น แต่ก็มีของแถมเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย กรณีนี้ มีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน Social Science and Medicine ประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่า ผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานมักจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าผู้หญิงโสด หรือที่พ้นระยะข้าวใหม่ปลามันไปแล้ว

     ซึ่งตามธรรมชาติของร่างกายแล้ว ผู้หญิงจะมีความต้องการแคลอรีแตกต่างจากผู้ชาย ในขณะที่ผู้ชายจะต้องการวันละ 2,300-2,700 แคลอรี ผู้หญิงจะต้องการเพียงวันละ 1,600-2,400 แคลอรี ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมปัญหาเรื่องน้ำหนักมักจะระบาดในหมู่ผู้หญิง นั่นเพราะพวกเธอมักจะมองข้ามเรื่องธรรมชาติร่างกายและกินแข่งกับพวกผู้ชาย

guest

Post : 2012-05-04 20:33:24.0     Forum: สาระน่ารู้  >  10 อันดับ อาหารอันตรายที่หลายคนชอบกิน

  อันดับที่ 10 โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว

การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท 


อันดับที่ 9โดนัท

โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

อันดับที่ 8 ไอศครีม

มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น

อันดับที่ 7ชิ้นไก่เนื้อนุ่มไม่มีกระดูก

ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ


อันดับที่ 6น้ำอัดลม

สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

อันดับที่ 5พิซซ่า

พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์ก?รม 5 ชนิด -. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น -. แป้ง ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่ -ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน -แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม -มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้


อันดับที่ 4โอริโอ้ คุกกี้

ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อก โกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น



อันดับที่ 3 เฟรนช์ฟราย

เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

อันดับที่ 2ฮอทด็อก

ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อ ส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%


อันดับที่ 1แฮมเบอร์เกอร์

แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และ นำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ 

guest

Post : 2012-05-04 20:30:22.0     Forum: สาระน่ารู้  >  เรื่องของ "สิว"

  ก่อนจะซื้อยารักษาสิว ลองอ่านเรื่องราวความเป็นมา เเละเรื่องราวของ สิว ดูเสียก่อนครับ ^^

สิว คือ การอักเสบเรื้อรังของรูขนและต่อมไขมัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ หัวขาว หรือหัวดำ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง หรือตุ่มเนื้อลึกใต้ผิวหนัง พบมากบริเวณหน้า คอ หน้าอก หลัง ไหล่ หรือต้นแขน มักเป็นในเด็กวัยรุ่น แต่ไม่ได้จำกัดอยู่เท่านั้น ผู้ใหญ่อายุ 20 - 40 ปีก็พบได้ ในรายที่เป็นชนิดรุนแรง อาจมีอาการเจ็บปวดตามผื่น แม้ว่าสิวจะไม่ใช่โรคที่ทำให้ถึงกับเสียชีวิต หรือพิการ แต่ก็อาจทิ้งร่องรอยของแผลเป็นบนใบหน้า เกิดเป็นปมด้อยไปตลอดชีวิตได้


ชนิดของสิว
-สิวอุดตัน หรือ คอมีโดน มี 2 ชนิด คือ สิวหัวปิด (สิวหัวขาว) 
- สิวหัวเปิด (สิวหัวดำ) 
- สิวอักเสบ มีหลายชนิด เช่น ตุ่มแดง 
- ตุ่มหนอง 
- ก้อนบวมแดงใต้ผิวหนัง 
- ถุงหนองหรือฝี 


สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว

ฮอร์โมนเพศชายที่พบได้ทั้ง 2 เพศ เป็นตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้โตขึ้น และทำงานมากขึ้น สารไขมันที่ถูกผลิตขึ้นจะรวมตัวกับเซลชั้นขี้ไคล จากผนังท่อกลายเป็นก้อน เรียกว่า คอมีโดน (comedone) และจะถูกขับออกทางรูขน ทำให้เกิดการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณรูเปิดของรูขน ให้หนาตัวขึ้นและเกาะตัวกันแน่น ทำให้รูชนนั้นอุดตัน เชื้อแบคทีเรียในรูขนจะเจริญ และปล่อยสารเคมีบางอย่าง ทำให้ผนังของรูขนรั่ว มีการซึมของสารต่าง ๆ จากรูขนออกสู่เนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง


สาเหตุและปัจจัยชักนำที่ทำให้เกิดสิว 

1. รูเปิดและท่อทางเดินของต่อมไขมันอุดตัน (Ductal hypercornification) ดังนั้นจึงมักพบว่าผู้ที่มีใบหน้ามัน ผมมัน หรือหนังศีรษะมัน มักจะเกิดสิวได้ง่ายกว่าผู้ที่มีใบหน้าแห้ง 
2. แบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียพวก P. acnes บางชนิดเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ แทรกซ้อน 
3. ช่วงใกล้มีประจำเดือน (Premenstrual) ส่วนใหญ่ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน จะมีโอกาสเกิดสิวมากกว่าปกติเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน 
4. เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าต่างๆ บางคนใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวหลายชนิดมากจนเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ทำให้ท่อทางเดินต่อมไขมันอักเสบและอุดตันทำให้เกิดสิวขึ้นได้ 
5. กรรมพันธุ์ เชื่อว่ากรรมพันธ์มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างในการทำให้เกิดสิว บางคนมีคุณพ่อหรือคุณแม่ ที่เคยเป็นสิวมากๆ จนทำให้เกิดรอยแผลเป็นลูกๆ ก็มีโอกาสเป็นสิวมากเช่นเดียวกัน 
6. ยาบางชนิด สามารทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้ เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาจำพวกสเตียรอยด์ ทั้งแบบชนิดกินและชนิดทา, ฮอร์โมนเพศชาย (androgen) เป็นต้น 
7. ความเครียดวิตกกังวล ความเครียดเป็นบ่อเกิดของสารพัดโรค ทางด้านผิวหนัง นอกจากจะทำให้แก่เกินวัยแล้วยังทำให้เกิดสิวได้ง่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าท่านทำงานหนักมากเกินไป เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก จะเกิดสิวได้ง่าย 
8.การถู ขัดหน้า พอกหน้า การถู ขัดหน้า พอกหน้า อบไอน้ำ พอกสมุนไพร บำรุงผิวสารพัดแบบนั้น ถ้าทำมากเกินไปบ่อยครั้งเกินไป จะทำให้ตัวคลุมผิวตามธรรมชาติ (skin barrier) หลุดลอกออกไป ผิวหน้าจะบางลง และไวต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง อักเสบ เกิดเป็นสิวมากขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
9.อาหาร หลายคนเชื่อว่าช็อกโกแลตมีส่วนทำให้เกิดสิวได้ ความจริงแล้วไม่เกี่ยวข้องกัน ส่วนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวที่ทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้ เช่น พวกเหล้า เบียร์ต่างๆ เพราะทำให้สุขภาพทรุดโทรมสิวจึงเห่อขึ้นได้
10.อากาศร้อน ถ้าคนที่อยู่ในอากาศร้อนและมีเหงื่อมาก มีโอกาสเกิดสิวได้ง่ายกว่าที่มีอากาศเย็นๆ
ฯลฯ 


เมื่อเป็นสิวแล้ว ควรปฏิบัติตนอย่างไร

-จะเห็นว่าสิวไม่ได้เกิดจากฝุ่นละออง หรือความสกปรก ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องล้างหรือทำความสะอาดมากเกินไป การล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดา วันละ 1 - 2 ครั้ง ก็เป็นการเพียงพอ 
-อาหารไม่มีส่วนทำให้เกิดสิว แต่บางคนที่พบว่า อาหารบางชนิด มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวทุกครั้ง ก็ควรหลีกเลี่ยง 
-เครื่องสำอาง ถ้าจะใช้ควรใช้ประเภทที่ไม่มีไขมัน (oil-free) และควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดทุกวัน สเปรย์หรือเจลใส่ผม ไม่ควรให้โดนผิวหน้า เพราะอาจทำให้เกิดสิว 
-ห้ามแกะเกาหรือบีบสิวเอง เพราะทำให้การอักเสบเพิ่มขึ้น และมีรอยแผลเป็นมากยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น การขัดหน้าหรือนวดหน้า และการเช็ดถูหน้าแรง ๆ 
-ควรพักผ่อน หรือออกกำลังกายให้พอเหมาะ การอดนอนหรือทำงานหนัก และเครียดเกินไป ทำให้สิวเป็นมากขึ้น 

ต้องเข้าใจว่า จุดประสงค์ของการรักษาสิว คือ ป้องกันการเกิดสิวใหม่ และทำให้สิวที่เป็นอยู่แล้วยุบหายไป โดยไม่เกิดแผลเป็น ฉะนั้น การรักษาสิวจะต้องใช้เวลา แพทย์ผิวหนังจะให้การรักษาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของสิว ยาปฏิชีวนะจะช่วยลดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในรูขน ทำให้สิวอักเสบลดลง 

ในวัยที่เป็นสิวง่าย ควรจะทายาละลายการอุดตันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ 

ควรระลึกเสมอว่า สิวอาจไม่มีการหายที่ถาวร แต่สามารถควบคุมได้ และการรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นหลังสิวหายแล้ว ได้เป็นอย่างดี 


การรักษาสิว 

หลักในการรักษาสิวนั้นต้องรักษาทั้งด้านจิตใจ, ตัวสิวเอง และร่องรอยจากสิว ควบคู่กันไปด้วย ที่สำคัญผู้ที่เป็นสิวควรจะทราบว่าสิวต้องใช้เวลารักษาอย่างน้อยประมาณ 4-6 สัปดาห์ขึ้นไป และอาจใช้เวลารักษานานถึง 12 เดือน

1. กลุ่มยาทา 
-กลุ่มยาทาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin, 2% Erythromycin 
-กลุ่มยาทาก่อนล้างหน้า เช่น 2.5% Benzoyl peroxide, Benzac, Brevoxyl 
-กลุ่มยาทากรดวิตามินเอ เช่น Retin-A, Stieva, Isotrex, Brevoxyl 
-กลุ่มยาทาละลายขุย เช่น Salicylic acid lotion, Sulphur lotion
-กลุ่มอื่นๆ เช่น Differin, Skinoren 


2. กลุ่มยารับประทาน 
-กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้ได้ผลดีคือ Tetracycline, Doxycycline, Minocycline, Erythromycin และ Bactrim
-กลุ่มยากรดวิตามินเอ บางคนเรียกว่า ยาเม็ดรักบี้เพราะรูปร่างคล้ายเม็ดรักบี้ คือ ยาRoaccutane (Isotretinoin)ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งให้ต่อมไขมันทำงานลดลง ทำให้ต่อมไขมันมีจำนวนและขนาดเล็กลง สิวจึงลดน้อยลงได้ แต่มีผลข้างเคียงหลายประการ เช่น มีผลต่อเด็กในครรภ์ได้จนอาจพิการได้ ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น ริมฝีปากแห้งมาก ฯลฯ 
ยานี้เป็นยาที่ใช้ได้ผลดีในการรักษาสิวที่เป็นรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่นๆไม่ได้ผล แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อรับประทานเองเด็ดขาด
-ยากลุ่มฮอร์โมน ได้แก่ ยา Diane 35 ใช้ได้ผลดีเช่นกัน แต่ใช้ในผู้หญิงที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเท่านั้น ร่วมกับมีข้อบ่งชี้เช่น ผิวมัน เสียงห้าว ขนดก และประจำเดือนผิดปกติ

3. การฉีดยารักษาสิว Intralesional Kenacorte) (ในกรณีที่เป็นสิวหัวช้าง เม็ดใหญ่มาก ที่เป็นรุนแรง (cystic acne) แพทย์อาจใช้วิธีฉีดยา เข้าไปที่หัวสิวได้เลยโดยตรง ซึ่งจะทำให้สิวยุบหายค่อนข้างเร็วมากภายใน 24 ชม. แต่ค่อนข้างเจ็บพอสมควร วิธีนี้ถ้าไม่ชำนาญหรือฉีดยามากเกินไปอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเป็นรอยบุ๋มได้


4. การกดเอาหัวสิวออก (Comedone extraction) ถ้าใช้เครื่องมือที่สะอาดและเทคนิคที่ถูกต้องจะทำให้สิวดีขึ้นเร็วในการรักษานั้นแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมให้ ซึ่งบางคนใช้แต่ยาทาอย่างเดียวก็ได้ แต่บางคนต้องรับประทานยาหรือกดหัวสิวร่วมด้วย เป็นต้น


ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคสิว มีดังนี้ 

1. การล้างหน้า ควรล้างด้วยสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก ซึ่งประกอบด้วย สารเคมีที่อ่อน ไม่ระคายเคืองหรือรบกวนผิวซึ่งทำให้เกิดคอมมีโดนหรือสิวอุดตัน หรือเลือกสบู่อ่อนที่ใช้สารเคมีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดสิว 
2. ไม่ควรล้างหน้า หรือเช็ดหน้าบ่อยๆ ล้างเพียงวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ
3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนังและต่อมไขมัน เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมนวดหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเลือกครีมหรือสารที่ให้ความชุ่มชื้นซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารเคมี ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว โดยทั่วไปชุดเมคอัพ เช่น ลิปสติก แป้ง บรัชออน มาสคาร่า อาขแชโดว และชุดรองพื้น จะไม่ก่อให้เกิดสิว 
4. อย่าบีบ หรือแกะสิว
5. การใช้ยารักษาสิว ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้มักผสมสเตียรอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สิวอักเสบยุบเร็ว แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย โดยมีการกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาใหม่มากกว่าเดิม ทำให้สิวไม่หายขาด 
6. กินยาให้ครบและสม่ำเสมอ
7. หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเรื่องของโรคสิว และแนวทางการรักษา ควรสอบถามจากแพทย์พื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง 


การรักษาร่องรอยจากสิว

ได้แก่ รอยดำ รอยแดง แผลเป็นหลุมสิว และแผลเป็นนูน

1. รอยดำสิว เกิดขึ้นตามหลังการหายของสิวอักเสบ มักเป็นอยู่นาน 5-6 เดือนถ้าไม่ได้รับการรักษา โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาทาพวก whitening ต่างๆทารอยดำร่วมกับครีมกันแดด บางคนอาจจะต้องทำทรีทเมนต์พวก Iontophoresis หรือ phonophoresis ช่วยก็ได้ 
2. รอยแดงสิว เกิดตามหลังสิวอักเสบบางส่วน การรักษาค่อนข้างยาก ต้องใช้เลเซอร์ชนิดพิเศษเช่น Pulse dye laser หรือ แสงความเข้มข้นสูง (IPL)
3. แผลเป็นนูน มักจะใช้การฉีดยาพวก steroid เข้าไปเพื่อให้ยุบลง นอกจากนั้นอาจใช้แผ่นปิดพวกซิลิโคนเจล เช่น Cica-care ปิดไว้ หรือยาทาแผลเป็นพวก Mederma เป็นต้น
4. แผลเป็นหลุมสิว รักษายากที่สุด อาจจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน

การรักษามีหลายวิธี เช่น การแต้มกรด TCA, การลอกผิว (Peeling), การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion), การกรอผิวด้วยเลเซอร์ (Ablative laser resurfacing), การผ่าตัด, การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยเลเซอร์หรือ IPL เป็นต้น
ส่วนการตัดสินใจว่าควรรักษาด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็น ความรุนแรง เครื่องมือที่มี และความชำนาญของแพทย์ผู้ให้การรักษา

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจากคลีนิคผิว : http://www.clinic-skin.com

ข้อมูลเพิ่มเติม:

CREDIT: http://www.aafp.org/afp/20001015/1823.html


ข้อมูลเพิมเติมการรักษาสิว

1. โดยการทา (topical Therapy of Acne Vulgaris) ยาทารักษาสิวนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางได้แก่ Benzoyl Peroxide (BP), Retinoic Acid (RA) และพวก Antibiotic เช่น Clindamycin (CL) ซึ่งชื่อยาที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นยาที่มีตามร้านขายยาทั่วไปและมักจะหาซื้อได้ง่าย แต่การใช้งานค่อนข้างมีผลกระทบคือการเกิดการระคายเคืองของผิว 

ซึ่งยารักษาสิวตัวใหม่ที่มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการระคายเคืองที่น้อยลงได้แก่ Isotretinoin (ITN), Azelaic acid (AZA) ซึ่งเหมาะที่จะรักษา สิวคอมมิโดนและสิวชนิดอักเสบ Glycolic acid ช่วยสลายคอมมิโดนและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังที่รอยโรค

2. โดยการรับประทาน (Oral Therapy of Acne Vulgaris) แบ่งออกเป็น 3 พวกด้วยกันคือ
2.1) Antibiotic ยาจำพวกนี้สามารถที่จะรักษาสิวอักเสบปานกลางได้ผลดี แต่ไม่เพียงพอไปลดจำนวนเชื้อ P.acnes ลง แต่สามารถลดกรดไขมันอิสระได้ อีกทั้งยังสามารถไปยับยั้งการหลั่ง Enzymes หลายชนิด ตลอดไปจนยังไปต้าน Chemotaxis, Lymphocyte Function ได้

2.2) Isotretinoin (ITN) เป็น 13-cis-Retinoic acid หรือที่เป็นที่นิยมเรียกกันว่า roaccutane, acnotin ซึ่งล้วนเป็นชื่อทางการค้าของ ITN ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ใครเป็นสิวนิดหน่อยก็ต้องขอหมอหรือผู้รักษาเรื่อยไปว่าอยากทาน หนำซ้ำบางครั้งหมอไม่จ่ายก็ดิ้นรนหาซื้อเองเพื่อจะนำมารับประทาน จริงๆแล้วเรียกว่าอันตรายมากทีเดียวเพราะตัวนี้ใช้เฉพาะการรักษาสิวอักเสบรุนแรงและสิวชนิดที่ยากต่อการรักษา แน่นอนด้วยความแรงของมันทำให้ผลการรักษาย่อมเหนือกว่ายาอื่นทุกตัวแต่อย่างที่บอกไป คือมันใช้รักษาสิวชนิดอักเสบรุนแรงและสิวที่ยากต่อการรักษาเพราะดังนั้นถ้าหากเป็นนิดๆหน่อยๆแล้วใช้ยาตัวนี้ก็ถือว่าไม่คุ้มกับที่เสียดูจากคำเตือนที่ค่อนข้างมาก 

2.3) การใช้ Hormonal Preparation ก็ได้แก่พวกการรับประทาน ออร์โมนต่างๆ พวกนี้การออกฤทธิ์นั้นจะไปลดการหลั่งซีบุ่มให้น้อยลง แต่อาจมีอาการข้างเคียงคือมีรอบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ มีอาการบวมน้ำหรือการเกิดฝ้าได้ง่าย

ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=mainaka&month=02-06-2008&group=4&gblog=2

guest

Post : 2012-05-04 20:28:31.0     Forum: สาระน่ารู้  >  คำถามเกี่ยวกับสิวที่พบบ่อย

 คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการรักษาสิว


1. 
การดูแลสุขอนามัยที่ดีจะทำให้ลดการเกิดสิว

การดูแลสุขอนามัยที่ดี เช่น การใช้สบู่ การดูแลความมันบนใบหน้าจะทำให้ลดการเกิดสิว
ความจริงคือ ยังไม่มีข้อสรุปที่บอกว่าการดูแลผิวพรรณให้สะอาดอยู่ตลอดเวลาจะช่วยลดการเกิดสิวซ้ำร้ายหากการดูแลความสะอาดนั้นอาจทำให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นด้วยหากดูแลผิดวิธียกตัวอย่างเช่น การใช้สบู่ที่มีฤทธิ์ในการชำระล้างที่สูงเกินไป การใช้มือถูนวดใบหน้ามากเกินไป

2. การล้างหน้าช่วยทำให้ลดการเกิดสิว
การล้างหน้าบ่อยๆช่วยลดการเกิดสิว
ความจริงคือ การล้างหน้าที่มากเกินไปร่วมกับการขัดถูจะทำให้สิวแย่ลง โดยการกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดสิวอักเสบหรือรอยดำจากสิวขึ้นมาได้ เคยมีการทดลองเปรียบเทียบการรักษาสิวโดยแบ่งเป็น กลุ่มAพยายามรักษาสิวโดยทำให้ผิวแห้งที่สุด กลุ่มB รักษาตามปกติ กลุ่มC รักษาโดยพยายามหลีกเลี่ยงน้ำ ผลที่ได้คือ กลุ่ม Bและให้ผลที่ดีกว่าการรักษาที่ทำให้ใบหน้าแห้ง

3. การแตะจับใบหน้าบ่อยๆมีผลทำให้สิวแย่ลงหรือไม่
การแตะจับใบหน้าบ่อยๆมีผลทำให้สิวเพิ่มขึ้น
ความจริงคือ การแตะจับผิวหน้าบ่อยๆ เกิดการระคายเคืองของผิวหนังทำให้เกิดสิว การทำทรีตเมนท์ต่างๆ หรือการนวดหน้ามากเกินไปก็ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน

4. การแกะสิวหรือกดสิว
การแกะหรือกดหัวสิวทำให้สิวแย่ลง
ความจริงคือ การแกะสิวและการกดสิวอย่างไม่ถูกวิธีหรือทำมากเกินไป ทำให้มีรอยแผลเป็นจากสิวการใช้น้ำกรดแต้มก็ไม่ได้ช่วยการรักษาสิวแต่ทำให้มีรอยดำหรือแผลเป็นมากขึ้น 

5. การรับประทานอาหาร
อาหารบางอย่างทำให้เกิดสิว
ความจริงคือ การทานอาหารบางอย่างมีผลต่อการเกิดสิว ในปัจจุบันมีการรายงานอาหารที่เกิดสิวได้แก่ อาหารไขมันสูง / ผลิตภัณฑ์นม เนย / อาหารที่มีแคลอรีสูง ส่วนมากเป็นอาหารของชาวตะวันตก แต่ไม่พบความสัมพันธ์กับการทานชอคโกแลต

ขอบคุณ : http://mailaserclinic.blogspot.com/2011/01/blog-post.html

 

guest

Post : 2012-05-04 20:25:18.0     Forum: สาระน่ารู้  >  รวมสูตรมาร์คหน้าใส ด้วยตนเอง (เยอะมั่ก ม่ากกกก)

 มาร์ค สูตร แตงกวา

 

วิธีทำ ปอกเปลือกแตงกวาลูกเล็ก ๆ หนึ่งลูก เอาใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเนียนนุ่ม กรองเอาแต่น้ำเก็บเอาไว้ จากนั้น เอาน้ำชาเขียวและชาคาโมมายล์อย่างละสองออนซ์กับเจลาตินหนึ่งห่อ ตั้งไฟอ่อนๆ จนเจลาตินละลาย เติมน้ำแตงกวาลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วเทใส่ภาชนะแก้วเก็บไว้ในตู้เย็นราว 25 นาที จนเริ่มเป็นส่วนผสมข้นๆ นำเอาส่วนผสมนี้มาทาให้ทั่วหน้า ปล่อยให้แห้ง 20 นาที ลอกมาสก์ออก แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ซับให้แห้ง แตงกวามีคุณสมบัติเป็นแอสตริงเจนต์อ่อน ๆ ที่ทำให้ผิวเย็นลง จึงดีเป็นพิเศษกับผิวอักเสบ เป็นผื่นแดง หรือไหม้แดด

 

มาร์ค สูตร มะเขือเทศ

 

วิธีทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด 
  
มาร์ค สูตร ไข่ขาว 
  
วิธีทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 
  
มาร์ค สูตร น้ำผึ้ง
  
วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด 
  
มาร์ค สูตร แอปเปิล 
  
วิธีทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก 
  
มาร์ค สูตร นมเปรี้ยว
  
วิธีทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ 
  
มาร์ค สูตร แตงโม 
  
วิธีทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

 

มาร์ค สูตร น้ำมะนาวและน้ำผึ้ง 
  
วิธีทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น  

 

นอกจากนั้นยังมี สูตรความงาม ที่หาเจอจาก Pantip อีกเพียบ ตามนี้เลยจ้า(อาจจะซ้ำหรือคล้ายกะข้างบนมะกี้นะ)

 

สูตรขัดผิวด้วยส้ม 

 


    1. นำส้มเขียวหวาน (เท่านั้นนะคะ) มาล้างให้สะอาด แล้วปอกเปลือก จากนั้นผ่าตามขวาง 
                    แล้วแคะเมล็ดออกจนหมด 
    2. ใช้ส่วนของเกร็ดส้มขัดเป็นวงกลมเบาๆ โดยไม่ต้องใช้แรงกด (ถ้ากดแรงไปจะทำให้ผิวมีริ้วรอยได้ง่าย) 
                   พอให้ผิวส้มสัมผัสกับผิวเรา เป็นอันใช้ได้ค่ะ 
    3. ขัดเบาๆ ประมาณ 15 นาที แล้วทิ้งให้น้ำส้มที่อยู่บนใบหน้าหรือลำตัว แห้ง แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด

 

    TiPS 
    - ทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้ง เท่านี้ผิวก็จะผุดผ่อง เพราะส้มมี ViT C ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และช่วยให้เม็ดสี จุดด่างดำ 
                 ดูจางลงด้วย 
    - เปลือกส้ม สามารถนำมาหั่นเป็นเส้น แล้วนำไปตากแดดจนแห้ง นำมาใช้เป็นยาจุดกันยุงได้อีกด้วยค่ะ

 


สูตรเพื่อผิวขาวกระจ่างใสขึ้น
    
    ผงขมิ้น + โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
    หลังจากถูสบู่ ให้นำผงขมิ้นที่ผสมกับโยเกิร์ตแล้ว มาทาให้ทั่วตัว ระหว่างทาก็นวดไปด้วย ค่อยๆ ทาวนเป็นวงกลมจนทั่ว 
    ทิ้งไว้ 5-10 นาที จากนั้นใช้ใยบวบหรือที่ขัดตัว ผสมครีมอาบน้ำให้เกิดฟองนิดหน่อย แล้วเริ่มขัดทั้งตัวพร้อมกับผงขมิ้น&โยเกิร์ต 
    ที่ยังไม่ได้ล้าง โดยขัดจากปลายเท้าขึ้นมาจนทั่วตัว > ล้างน้ำออก จากนั้นทาโลชั่นตามทันที
    ทำ 3 วัน/ครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้ง ผิวจะค่อยๆใส และขาวขึ้นเจ้าค่ะ

 

 

 

สูตรเพื่อผิวขาวกระจ่างใส (ฉบับเจ้าสาว)

 

 

 

    มะขาม + ผงขมิ้น + นมสด + เกลือ
    1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ขัดเบาๆ ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก
    2. พอกด้วยส่วนผสมที่ 2 (ผงขมิ้น + นมสด + ทานาคาหรือดินสอพอง) ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก

 

    ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งค่ะ ผิวจะสว่างใสและขาวขึ้นภายใน 1 เดือน

 

 

 


สูตรเพื่อผิวขาว(ฉบับเจ้าสาว) Version 2

 

    ไพล + นมผงสำหรับเด็กทารก (Ext: เอส26 หรือ เนสเล่) 
    
    นำไพลและนมผงมาบดผสมให้เข้ากัน (จะผสมขมิ้นลงไปด้วยก็ได้ค่ะ) แล้วนำมาขัดผิวเวลาอาบน้ำ โดยล้างสบู่ให้สะอาดก่อน แล้วขัดเบาๆ 
     ใช้บวบขัดผิว หรือแปรงที่ขนนุ่ม ๆ ก็ได้ค่ะ รับรองผลชัวร์ ๆ ผิวจะสะอาดเนียนและนุ่มมาก ๆ ค่ะ

 

 

 

สูตรสมานผิว (แสนจะง่าย)

 

 

 

    หลังล้างหน้า นำน้ำผึ้งแท้ล้วนๆ มาทาหน้าให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 10 นาทีค่ะ จากนั้นล้างน้ำออกและบำรุงผิวตามปกติ

 

    TiPS
    ใช้ได้ดีกับผิวแพ้ง่ายและผิวที่อักเสบจากการแพ้ เพราะน้ำผึ้งเป็นตัวประสานผิวที่ดี ช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนขึ้น สิวผดต่างๆ จะหายไป 
หน้าไม่เป็นขุย เวลาเป็นแผลสด ทำท่าจะมีหนองก็ให้เอาน้ำผึ้งทาทิ้งไว้ หนองจะไม่มีและแผลก็จะแห้งเร็วด้วยค่ะ

 

 

 

สูตรสำหรับผิวหมองคล้ำ

 

 

 

    ขมิ้น + มะขามเปียก
    1. นำมะขามเปียกลงขยำในน้ำอุ่น ใช้กะปริมาณให้ทั่วผิวกาย (1-2 ฝักกับน้ำอุ่นเล็กน้อย) ให้น้ำมะขามมีลักษณะข้นๆ
    2. ละลายผงขมิ้นลงไป ประมาณ 1/4 - 1/2 ช้อนชา (ระวังอย่าให้มากไปนะคะ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นสาวดีซ่าน ไปซะอีก..อิอิ)
    3. คนๆให้เข้ากันค่ะ นำส่วนผสมที่ได้มาพอกผิว อาจใช้ใยบวบขัดผิวเบาๆ ไปด้วย ทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออกค่ะ

 

 

 

สูตรสำหรับผิวแห้ง

 

 

 

    น้ำมันมะกอก + เกลือ + ผลสตรอว์เบอรี่สด
    1. ผสมน้ำมันมะกอกกับเกลือ (ควรใช้เกลือเม็ดเล็กๆ หรือเม็ดที่ไม่คม ไม่หยาบจนเกินไปค่ะ เดี๋ยวมันจะบาดผิวเรา) เข้าด้วยกัน
    2. ใส่สตรอว์เบอรี่ที่ใช้ช้อนบี้ๆ บดๆ จนเละแล้วลงไป
    3. คนๆ ให้เข้ากัน ใช้เป็นสครับสำหรับขัดผิวกาย เพื่อให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวสดใส และเต่งตึงขึ้นด้วยค่ะ

 

 

 

สูตรเพื่อผิวเนียน

 

 

 

    ว่านหางจรเข้ 2 ใบ(ใบใหญ่) + ใบชะพลู 10 ใบ + ไข่ไก่ 1 ฟอง
    
    นำว่านหางจรเข้มาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำใบชะพลูที่ล้างสะอาดแล้ว มาหั่นหยาบๆ 
     แล้วนำส่วนผสมทั้ง 2 อยางลงเครื่องปั่น  ใส่ไข่ไก่ลงไป... 
    ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที ล้างออก  ผิวหน้าจะเนียน ลื่นขึ้นค่ะ

 

 

 

สูตรลดริ้วรอย

 

 

 

    เนื้อมะละกอสุก + เนื้อฝรั่ง
    1. นำเนื้อมะละกอและฝรั่งมาปั่นรวมกัน (อาจเติมนมสดหรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไปด้วยนิดหน่อย) ปั่นให้พอเละ ๆ ค่ะ
    2. นำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก

 

    TiPS
    สูตรนี้ไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่ายนะคะ เพราะมะละกอมันจามียาง อ่ะค่ะ

 

 

 

สูตรสำหรับผิวธรรมดา/ผิวมัน

 

 

 

    เนื้อแตงกวา (ปั่นแยกน้ำ) 1 ถ้วย
    โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
    เมล็ดงา 1 ช้อนชา
    จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ

 

    นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาทาผิวในลักษณะวนเป็นวงกลม  เมื่อส่วนผสมใกล้แห้ง ค่อยๆ ขัดออกเบาๆ 
    เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าออก แล้วล้างตัวด้วยน้ำอุ่น

 

 

 

สูตรไข่ กระชับผิว กระชับรูขุมขน

 

 

 

    1. ล้างหน้าด้วยน้ำนม ช่วยกระตุ้นให้ผิวสดชื่น กระชุ่มกระชวย 
    2. ตอกไข่ใส่ชาม แยกส่วนไข่ขาวและไข่แดง ใช้เฉพาะไข่ขาว ทาบนใบหน้า (ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้ง ให้ผสมไข่แดงลงไปเล็กน้อย) 
                    ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก ด้วยน้ำอุ่น 
    3. ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว

 

    TiPS
    ช่วยกระชับผิว กระชับรูขุมขน เฉกเช่นเดียวกับ โทนนิ่งโลชั่น

 

 

 

สูตรการทำ Tropical Fruit Mask

 

 

 

    น้ำสัปปะรดคั้นสด 1 ถ้วย 
    มะละกอสไลด์สด 1/2 ถ้วย 
    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

 

   1.  นำน้ำสัปปะรดและมะละกอ คนๆ เข้ากันให้ละเอียด เติมน้ำผึ้งเพิ่มลงไป
    2. ล้างหน้าให้สะอาด ซับหน้าให้แห้ง เอาส่วนผสมทาให้ทั่วหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 5 นาที (ถ้าผิวแพ้ง่าย 2-3 นาทีก็พอจ้า) 
    3.ล้างออกด้วยน้ำเย็น ตามด้วยมอยซ์เจอร์บำรุงผิว

 

    TiPS
    - ควรทำมาสก์นี้ไม่เกิน 1 ครั้งต่ออาทิตย์นะคร๊ะ
    - ผลไม้อุดมไปด้วย AHA ทำให้เส้นสกุนาบาทา (เท้ากา) จางลงได้ด้วย เพราะมีเอนไซม์จากธรรมชาติ ช่วยขจัดผิวที่เสีย 
                เมื่อผสมกับน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่มขึ้น

 

 

 

สูตรสู้สิว ฉบับแสนง่าย

 

 

 

    1. ปอกเปลือกมะเขือเทศ ฝานเป็นแผ่นๆ เอาเมล็ดออก 
    2. นำไปปั่นให้ละเอียด (ถ้าไม่มีเครื่องปั่น จะใช้วิธีขยำจนกระทั่งเนื้อมะเขือเทศเละ ไม่จับเป็นก้อน ก็ใช้ได้เหมือนกัน) 
    3. ทาลงบนหัวสิว (ระวังอย่าให้เข้าตา) ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

 

    TiPS
    - ในกรณีที่คุณเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือยังไม่แน่ใจว่าจะแพ้หรือเปล่า ให้ลองเทสต์กับท้องแขนก่อน ถ้ามีอาการแสบผิดปกติ 
                 ให้ล้างออกทันทีและไม่ควรใช้กับผิวหน้า 
    - กรด" ในมะเขือเทศ จะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน และลดการเกิดสิว

 

 

 

สูตรรักษาฝ้า

 

    คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุกจึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน  ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท 
    อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้าวันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้นค่ะ

 

 

 

 

 

สูตร Cleanser สำหรับทุกสภาพผิว

 

    โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย 
    น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ 
    น้ำมะนาว 1 1/2ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ )

 

    นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอนแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้า
    ได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วยค่ะ

 

 

 

สูตรมาร์คสิวเสี้ยน

 

    ถั่วเขียวต้ม 2 ช้อนโต๊ะ
    สตรอเบอร์รี่ผลโต 2 ผล (ผลเล็ก 4 ผล)
    นมเปรี้ยว 1/2 ช้อนโต๊ะ

 

    1. ต้มถั่วเขียวให้สุกกำลังดี แล้วตักใส่ถ้วยใบเล็กๆ ไว้ 
    2. ใช้น้ำอุ่นๆ ล้างหน้าให้สะอาดด้วยสบู่หรือโฟมล้างหน้า เช็ดซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ใช้หมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำคลุมศีรษะไว้ หรือใช้ที่คาดผมเพื่อเก็บเส้นผมไม่ให้หล่นปรกใบหน้า
    3. ใช้ช้อน หรือส้อมบดๆ ยีๆ ถั่วเขียวต้มสุกและสตรอเบอร์รี่ให้ละเอียด นำทั้ง 2 มาผสมกัน ตีๆ ยีๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เติมนมเปรี้ยวผสมลงไป 1 ช้อนชาครึ่ง หรือ 1/2 ช้อนโต๊ะ ถ้ามีเครื่องปั่นให้ปั่นถั่วเขียวต้ม และสตรอเบอร์รี่ และนมเปรี้ยวพร้อมๆ กัน แต่ไม่ต้องให้ละเอียดมากนัก
    4. นำส่วนผสมที่ได้มา ทาให้ทั่ว ผิวหน้า เว้นรอบๆ ริมฝีปากและรอบดวงตาไว้ พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที และล้างทำความสะอาดหน้าด้วยน้ำอุ่นๆ กับสบู่หรือโฟมล้างหน้า

 

    TiPS
    สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ ริ้วรอยต่างๆ ที่เป็นรอยยับย่น มาร์คสูตรนี้ช่วยให้ใบหน้าขาวนวล เกลี้ยงเกลา 
   ใสสะอาดอย่างน่าอัศจรรย์ หมั่นทำเป็นประจำทุกๆ วันกันนะคร๊า

 

 

 

สูตรมาร์คหน้าเพื่อผิวกระชับ

 

    มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำอุ่น

 

    1. เทน้ำอุ่นช้าๆ ลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนให้เข้ากันจนข้น
    2. ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าบางเบาให้ทั่ว จากนั้นใช้พู่กันจุ่มมันฝรั่งข้นทาทั้งใบหน้าและลำคอ 
      (ยกเว้นรอบดวงตาและลำคอด้านหลัง)
    3. ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ใช้ผ้าอุ่นชื้นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัว(จนกว่ามันฝรั่งจะนิ่ม) แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

 

    TiPS
    การมาส์กหน้าด้วยมันฝรั่งป่นจะช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้เลือดไหลเวียนดีและทำให้ผิวกระชับเต่งตึง แต่จะทำให้ผิวแห้ง ดังนั้นจึงไม่ควรมาส์กหน้า
    ด้วยมันฝรั่งบ่อยเกินไป

 

 

 

สูตรขัดผิว (เค้าว่า...เป็นสูตรของป้าศรีเวียงค่ะ)

 

    นมผง 3 ช้อนโต๊ะ 
    * นมผงก็ใช้นมผงสำหรับชงให้ทารกดื่ม ที่มีขายทั่วไปนะคะ ซื้อแบบซองขนาดเล็กสุดมาก็ได้ เพราะน่าจะใช้ได้นานมาก 
                 ผงขัดตัว 2 ช้อนโต๊ะ 
    * ผงขัดตัว เราใช้ผงขมิ้นขัดตัว ที่มีอยู่แล้ว เป็นแบบกระปุกๆ ละ 30 บาท 
                 น้ำมะนาว 
    * น้ำมะนาว ปริมาณน่าจะเริ่มจากน้อยๆ ก่อนนะคะ เพื่อว่าเวลาทาจะได้ไม่แสบ ถ้าทำไปแล้วรู้สึกเฉยๆ ก็เพิ่มประมาณได้ค่ะ 
                 สำหรับเราใช้ครั้งแรกครึ่งลูก ก็ไม่แสบ คราวหน้าจะลองใส่หนึ่งลูกดู

 

    น้ำเปล่า

 

    1. ผสมนมผงกับผงขัดตัวให้เข้ากัน ใส่น้ำมะนาว และเติมน้ำเปล่าทีละน้อย และผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อโคลน 
    2. เสร็จแล้วก็ทาเลยค่ะ ทาทั้งแขน ทั้งขา (แนะนำว่าทำในห้องน้ำดีกว่า จะได้ไม่เลอะเทอะ) อย่าทาหนาเกินไป ตอนขัดจะขัดยาก 
                    ทิ้งไว้ให้หมาดเกือบแห้ง 
    3.แล้วก็ใช้ฝ่ามือนี่แหละคะ ขัด ขัด ขัด เข้าไป บางคนอาจะขี้ไคลหลุดออกมา ก็อย่าตกใจละคะ มันจะหลุดออกมาเป็นก้อนๆ ผงๆ 
                ก็ขัดให้ทั่วบริเวณที่ทาไว้ 
    ....หลังจากขัดเสร็จจะรู้สึกว่าผิวลื่นขึ้น มันเงาขึ้น เสร็จแล้วก็ทาครีมบำรุงทั้งตัว..เรียบร้อยค่า

 

 

 

สูตรแอสไพริน(ยอดนิยม)
 
    แอสไพริน แบบที่ไม่เคลือบเม็ด 5-6 เม็ด
    โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1-2 ช้อนโต๊ะ (กะให้พอกับการพอกหน้าเรา)
    น้ำผึ้ง

 

    นำแอสไพรินมาบดให้ละเอียด แล้วเอาไปผสมกับโยเกิร์ต เอาน้ำผึ้งใส่นิดหน่อย คนให้เข้ากัน แล้วก็เอามาพอกหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที 
    พอแห้งก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จากนั้นซับหน้าให้แห้ง

 

    TiPS
    สูตรนี้เหมาะสำหรับผิวหน้ามันมากค่ะ (จะใช้แอสไพรินบดอย่างเดียวก็ได้ค่ะ โดยใช้น้ำสะอาดเหยาะๆ ลงไปพอให้ข้น แล้วพอกหน้าได้เลย) 
    สูตรนี้เวิร์คสุดๆ ค่ะ

 

 

 

สูตรกำจัดขน (แว็กซ์ทำเอง)

 

    น้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ 
    น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

 

    1. ผสมส่วนผสมทั้งสองเข้าด้วยกัน ตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อยจนส่วนผสมกลายเป็นสีเหลืองทอง ยกออกจากเตาแต่ต้องคนต่อไปเรื่อยๆ จนข้นเหนียว มีสีสันและความหนืดดั่งน้ำผึ้ง ปล่อยให้แวกซ์เย็นลง หากเข้มข้นมากเกินไปจนแข็งกลายเป็นคาราเมล ให้เติมน้ำมะนาวลงไปอีก
    2. ตัดผ้าฝ้ายเป็นแผ่นยาว ใช้มีดปาดแวกซ์ทาบริเวณที่ต้องการกำจัดขนไปในทิศทางเดียวกับที่ขนขึ้น (ทาลง) จากนั้นใช้แผ่นผ้าปิดบริเวณที่ทาให้แน่นแล้วดึงขึ้นในทิศทางที่สวนกับการทา แรกๆ อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ทำไปเรื่อยก็จะชิน 
    3. เปลี่ยนผ้าแถบผืนใหม่เมื่อแวกซ์ติดขนหนาหลายชั้น สามารถใช้แวกซ์นี้บริเวณแขน ขา รักแร้ (ซึ่งอาจจะต้องให้คนใกล้ชิดช่วยทำ) สำหรับใบหน้าควรระวังที่สุด เพราะไม่ควรดึงทึ้งผิวที่อ่อนแอและบอบบาง ทั้งน้ำตาลและมะนาวต่างช่วยให้ผิวนุ่มเนียน การทำแวกซ์อาจทำให้เกิดขนคุดได้ ควรขัดผิวอย่างเบาๆ ด้วยหินขัดตัวระหว่างอาบน้ำจะช่วยลดขนคุดได้

 

    TiPS
     สูตรมหารานีแห่งอินเดีย ปกติขนตามเรียวขาจะงอกขึ้นมาใหม่ภายใน 6 สัปดาห์ วันเวลาที่ผ่านมาไปเมื่อแวกซ์ขนบ่อยๆ 
      รากก็จะอ่อนแอไม่เจริญเติบโต สำหรับสูตรแวกซ์ทำเองนี้จะมีจำนวนมากเพียงพอสำหรับขาทั้งสองข้างหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนของน้ำมะนาว 
      อากาศ ความชุ่มชื่นของน้ำตาลและระดับความร้อนที่ใช้

 

 

 

สูตรสาหร่ายทะเล

 

    ว่านหางจระเข้ 2 ใบ 
    สาหร่ายทะเล(ปริมาณพอควร)

 

    1. นำว่านหางจระเข้มาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเอาเฉพาะวุ้นใสๆข้างใน จากนั้นเป็นชิ้นเล็กๆ
    2. นำมาปั่นรวมกับสาหร่ายทะเลที่แช่น้ำจนนิ่มและหมดสิ่งสกปรกจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
    3. นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

 

    TiPS
    ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วยภายในเวลาไม่ถึงเดือน

 

 

 

สูตรสครับขัดผิว

 

    ผงสมุนไพรที่มีส่วนผสมของขมิ้นไพร และการบูร
    น้ำผึ้งแท้
    น้ำมะขามเปียก
    โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

 

    1. ผสมผงสมุนไพรกับน้ำผึ้งใน+++ส่วนที่พอเหมาะ เติมน้ำมะขามลงไปนิดหน่อย แล้วนำส่วนผสมดังกล่าวมาขัดตัว 10-15 นาที ล้างออก
    2. หลังจากล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วพอกตัวด้วยโยเกิร์ตทิ้งไว้อีกประมาณ 15-20 นาที 
    ผงสมุนไพรจะช่วยบำรุงผิวพรรณ น้ำผึ้งและโยเกิร์ตช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและกระชับขึ้น น้ำมะขามมี AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวขาวขึ้นและลดจุดด่างดำ

 

    TiPS
    หลังใช้น้ำมะขามขัดตัวแล้ว ช่วงแรกๆ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดเพราะผิวจะไวต่อแสง เป็นสาเหตุให้เกิดเม็ดกระได้ง่ายนะคร๊ะ

 

 

 

สูตรลอกสิวเสี้ยน

 


- ไข่ขาว 
- พิมเสน 
- สำลี ชนิดแผ่น 
นำไข่ไก่เอาแต่ไข่ขาว ใส่ด้วย ใส่พิมเสนลงไปนิดหน่อยมันจะดับกลิ่นคาว แล้วทำให้หน้าเย็นๆ แต่อย่าใส่เยอะนะ (เดี๋ยวจะเย็นจนทนไม่ไหว อิอิ) 
คนให้เข้ากัน ลอกสำลีให้บางๆ จากนั้นก็เอาไข่ขาวที่เตรียมไว้ทาหน้ารอบนึง แปะทับด้วยสำลี เสร็จแล้วทาไข่ขาวทับสำลีให้ชุ่ม ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิท 
แล้วลอกจากคางขึ้นมาแล้วล้างออก แล้วทีนี้สังเกตุที่สำลีที่ลอกออกมาดูดิ อืม...มันชั่งเยี่ยมไปเลย

 

 

 

สูตรผิวนุ่ม

 

Baby Oil
เกลือ ปรุงทิพย์

 

นำทั้ง 2 อย่างมาผสมกันถ้าต้องการให้สครับเยอะ ๆ ก็ใส่เกลือปรุงทิพย์ไปเยอะ ๆ นะคะ หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายแล้ว 
ก้อขัดให้ทั่วตัวเลยค่ะ ขัดวน ๆ ทิ้งไว้สัก 5 - 10 นาที ค่ะ ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง (ถ้าใครผิวมันทำอาทิตย์ละครั้งก็ได้ค่ะ) 
ผิวจะนุ่มขึ้นค่ะ

 

 

 

เยอะมากๆเลยอ่า ถ้าใครทำแล้วได้ผลเป็นไงมาบอกกันบ้างนะคะ


เครดิต Bloggang.com

 

guest

Post : 2012-05-04 20:22:48.0     Forum: สาระน่ารู้  >  จัดการกับสิวบนแผ่นหลัง ง่ายนิดเดียว

 

จัดการกับสิวบนแผ่นหลัง ง่ายนิดเดียว

 


     มีผู้หญิงไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับปัญหาสิวบนแผ่นหลังแนะนำให้ใช้ ยารักษาสิว ซึ่งถึงแม้ว่าบรรดาสิวเจ้ากรรมมันจะไปผุดในที่ที่ไม่มีคนสังเกตเห็น แต่ก็ทำให้หลายคนกุมขมับมานักต่อนักแล้ว ก็แหงล่ะ เพราะเวลาเป็นสิวบนแผ่นหลังเมื่อไหร่ เจ้าตัวก็ต้องคอยเอาผมมาปิดหลัง หรือใส่เสื้อมิดชิดไปซะทุกทีนี่นา แต่วันนี้ เรามีวิธีที่ง่ายแสนง่ายในการจัดการกับสิวบนแผ่นหลังมาฝากกันแล้วค่ะ ไปดูกันดีกว่าว่า สาว ๆ สามารถดูแลแผ่นหลังให้กลับมาเนียนสวยไร้สิวได้อย่างไร ด้วย 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

1. งดใช้ครีมอาบน้ำ แล้วหันมาใช้สบู่ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิดเอสิด 2% โดยในระหว่างอาบน้ำให้ใช้ใยบวบขัดผิวไปพร้อม ๆ กับสบู่ จากนั้นล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด อย่าลืมเอื้อมมือไปแตะหลังดูว่ายังลื่นอยู่หรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้นสิวอาจจะเห่อและไม่หายขาดได้ค่ะ

2. หลังจากอาบน้ำเสร็จ ควรใช้ครีมหรือโลชั่นสูตร noncomedogenic ซึ่งจะช่วยลดความมัน และการเกิดสิวได้

3. ระหว่างวัน ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่อับชื้น หรือเก็บเหงื่อ เพราะไม่เช่นนั้นสิวอาจจะอักเสบ และผุดขึ้นมากกว่าเดิมอีกค่ะ

4. ก่อนนอนทุกคืน ควรใช้ทรีตเม้นท์ที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide หรือ BP ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ทาบริเวณที่เป็นสิว จะช่วยลดการอุดตัน และวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลชงัดมาหลายคนแล้วด้วยนะ

5. เปลี่ยนยาสระผมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะนั่นอาจเป็นตัวการของสิวที่หลังของคุณนั่นแหละ ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาสิวที่หลัง ขอให้ลองเปลี่ยนมาใช้แชมพูแบบใส แทนที่ครีมแชมพู เพราะจะล้างออกง่ายกว่า และอุดตันได้ยากกว่าค่ะ

เอาล่ะค่ะ คราวนี้สาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาสิวบนแผ่นหลัง ก็ไปเริ่มภารกิจพิชิตสิวด้วยยารักษาสิวพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

 

guest

Post : 2012-05-04 20:21:38.0     Forum: สาระน่ารู้  >  ควบคุมอาหารช่วยลดโอกาสเป็นอัลไซเมอร์

 

ควบคุมอาหารช่วยลดโอกาสเป็นอัลไซเมอร์

 


     อัลไซเมอร์ถือเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่คร่าชีวิตของผู้คนลงเป็นจำนวนมากในแต่ละปี เนื่องจากยังเป็นโรคที่รักษาไม่หายอีกทั้งยังหาสาเหตุและการดำเนินไปของโรคที่ชัดเจนไม่ได้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพบว่าตัวเองป่วยเป็นอัลไซเมอร์ก็เมื่ออาการของโรคอยู่ในระยะวิกฤติแล้ว 

     ล่าสุด สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษเผยผลการวิจัยที่สร้างความตื่นเต้นให้วงการแพทย์เป็นอย่างมากว่า ผู้ที่มีโอเมก้า 3 และวิตามินต่างๆในกระแสเลือดสูง มีโอกาสที่จะป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์น้อยลง ตรงข้ามกับผู้ที่นิยมบริโภคอาหารจานด่วนหรือฟาสต์ฟู้ดที่มีโอกาสจะป่วยด้วยโรคดังกล่าวมากขึ้น

     โดยผลการวิจัยพบว่าจากการศึกษาซึ่งมุ่งเน้นไปที่การตรวจหาสารต่างๆในเลือดของกลุ่มตัวอย่าง แทนการสอบถามถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกเขา ซึ่งเป็นการศึกษาในแบบเดิมๆ  ปรากฎว่ากรดไขมันอิ่มตัวซึ่งพบในเลือดจะแปรผันตรงกับการฝ่อตัวของสมอง กล่าวคือ ผู้ที่มีกรดไขมันในกระแสเลือดที่สูงจะมีการฝ่อตัวของสมองที่สูงตามไปด้วย หรือมีโอกาสที่จะป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น

     ขณะที่ผลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐก็ออกมาในลักษณะเดียวกัน เมื่อการศึกษาตัวอย่างเลือดของกลุ่มตัวอย่าง 104 คน ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 87 ปี พบว่า ผู้ที่มีโอเมก้า 3 และวิตามิน บี ซี ดี และอี ในปริมาณมาก จะมีผลการทดสอบหน่วยความจำอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

     ส่วนการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสุขภาพและวิทยายาศาสตร์ของโอเรกอน ก็พบว่าจากการสแกนสมองของกลุ่มตัวอย่าง 42 คน ปรากฎว่า ผู้ที่มีระดับของโอเมก้า 3 และวิตามินต่างๆในเลือดสูง จะมีขนาดสมองที่ใหญ่ ตรงข้ามกับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงจะมีขนาดสมองที่เล็กกว่า

     ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่บริโภคอาหารด้วยความระมัดระวัง ไม่บริโภคอาหารไขมันสูง แต่หันมาเน้นการกินผักและผลไม้ให้มาก มีแนวโน้มที่จะป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์น้อยลง

หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอยู่เสมอ จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ได้มากขึ้นนั่นเอง

guest

Post : 2012-05-04 20:17:12.0     Forum: สาระน่ารู้  >  วิธีกำจัดสิวแบบเร่งด่วน ด้วยวิธีธรรมชาติ

 1. ยาสีฟัน ใช้ยาสีฟันแบบเนื้อยาสีขาวธรรมดา แต้มที่หัวสิวบนใบหน้าที่สะอาดตอนก่อนนอนตื่นมาสิวจะยุบลงได้


2. น้ำมะนาว ใช้น้ำมะนาวแต้มที่หัวสิวก่อนเข้านอน เมื่อตื่นมาแล้วจึงล้างหน้าให้สะอาด

3. น้ำมันสกัดจากดอกลาเวนเดอร์ ใช้น้ำมันสกัดจากดอกลาเวนเตอร์แต้มที่หัวสิวก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หัวสิวแห้งลงแล้ว กลิ่นหอมๆ ของลาเวนเดอร์ยังช่วยให้นอนหลับสบายด้วย

4. ซินนามอนและน้ำผึ้ง ผสมซินนามอนป่นกับน้ำผึ้งให้เข้ากันเป็นเนื้อข้นๆ แต้มที่หัวสิวก่อนเข้านอน อย่าลืมนำผ้าขนหนูรองที่หมอนเพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมเปื้อนเลอะเทอะด้วย

5. ไข่ขาว ล้างหน้าให้สะอาดแล้วแต้มเฉพาะไข่ขาวที่หัวสิวทิ้งไว้จนแห้งแล้วจึงลอกออก จากนั้นล้างหน้าซ้ำให้สะอาดอีกครั้ง

 

guest

Post : 2012-05-04 20:14:01.0     Forum: สาระน่ารู้  >  ดูแลผิวอย่างไรไม่ให้เป็นสิว

 


 

ดูแลผิวอย่างไรไม่ให้เป็นสิว

 

 

      เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น พบว่า ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) ในร่างกายจะมีระดับสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากจนผลิตไขมันออกมามาก ประกอบกับผิวหนังท่อทางออกของน้ำมันและการลอกตัวมีความผิดปกติ การหลุดลอกของผิวที่ผนังท่อรูขุมขนจึงมารวมตัวกับน้ำมันที่ถูกสร้างขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการอุดตันได้ง่าย ประกอบกับแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกช่วยเสริม เช่น สารเคมี การรบกวนผิว หรือความร้อน ทำให้เกิดสิวขึ้นได้

วิธีดูแลตัวเองไม่ให้เป็นสิว

1. ทำจิตใจให้ผ่องใส ลดความเครียดลงสักนิด เพราะความเครียดอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และส่งผลกระทบต่อการเกิดสิวได้ 

2. ออกกำลังกายเพื่อลดความเครียดจะช่วยไม่ให้เกิดสิวได้ แต่ควรระวังการออกกำลังกายบางชนิดที่ต้องใช้อุปกรณ์ในการดึง รัด รั้ง และถูกที่ผิวซ้ำไปซ้ำมา เช่น การสวมใส่หมวกกันน็อค

3. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารกระตุ้นทำให้เกิดสิว เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ที่เป็นสาเหตุทำให้ท่อทางเดินของต่อมไขมันเกิดการอักเสบและอุดตัน

4. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ได้เป็นดีที่สุด

5. หลีกเลี่ยงการรบกวนผิวหน้า ขัดถูหน้า ลอกหน้า เพราะผิวหน้าจะบางลง และไวต่อสภาวะแวดล้อม จะเกิดการระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นได้

6. หลีกเลี่ยงที่จะอยู่ในที่อากาศร้อนมากๆ จะเกิดสิวได้ง่ายกว่าที่มีอากาศเย็น เมื่อปฏิบัติตนได้ตามนี้แล้ว หากสิวจะเยี่ยมเยียนคุณบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาตราบใดที่คุณยังมีฮอร์โมนแอนโดรเจนอยู่ แต่โอกาสที่สิวจะมาเยี่ยมเยืยนคุณนั้นโอกาสมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับการที่คุณไม่ดูแลผิวของคุณเลย
 

 

guest

Post : 2012-05-04 20:05:30.0     Forum: สาระน่ารู้  >  สูตรบำรุงผิวหน้า

 

สูตรบำรุงผิวหน้า

 

สูตรเพื่อผิวกระจ่างใสขึ้น

ส่วนผสม
- ผงขมิ้น
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
วิธีทำ
หลังจากล้างหน้าสะอาด นำผงขมิ้นที่ผสมกับโยเกิร์ตแล้วมาทาให้ทั่วตัว
ระหว่างทาก็นวดไปด้วย วนเป็นวงกลมจนทั่ว ทิ้งไว้ 5-10 นาที จากนั้นใช้ใยบวบหรือที่ขัดตัว ผสมครีมอาบน้ำถูเบาๆ ให้เกิดฟอง แล้วเริ่มขัด โดยขัดจากปลายเท้าขึ้นมาจนทั่วตัว ล้างน้ำออก จากนั้นทาโลชั่นตามทันที ทำสัปดาห์ละครั้ง ผิวจะค่อยๆ ใสและขาวขึ้น

สูตรสำหรับผิวหมองคล้ำ

ส่วนผสม
- มะขามเปียก
- ขมิ้น
วิธีทำ
นำมะขามเปียกมาขยำในน้ำอุ่น กะปริมาณให้ทั่วผิวกาย (1-2 ฝักกับน้ำอุ่นเล็กน้อย) ให้น้ำมะขามมีลักษณะข้นๆ จากนั้นละลายผงขมิ้นลงไปประมาณ 1/4-1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำส่วนผสมที่ได้มาพอก อาจใช้ใยบวบขัดผิวเบาๆ ไปด้วย ทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออก

สูตรเพื่อผิวเนียน

ส่วนผสม
- ว่านหางจระเข้ 2 ใบใหญ่
- ใบชะพลู 10 ใบ
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
วิธีทำ
นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำใบชะพลูที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาหั่นหยาบๆ แล้วนำส่วนผสมทั้ง 2 อย่างลงเครื่องปั่น ใส่ไข่ไก่ลงไป ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก ผิวหน้าจะเนียน ลื่นขึ้น

สูตรกระชับรูขุมขน

ส่วนผสม
- น้ำนม
- ไข่ไก่
- มอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว
วิธีทำ
ล้างหน้าด้วยน้ำนม ช่วยกระตุ้นให้ผิวสดชื่นกระชุ่มกระชวย จากนั้นตอกไข่ใส่ชาม แยกส่วนไข่ขาวและไข่แดง ใช้เฉพาะไข่ขาว ทาบนใบหน้า (ถ้าเป็นคนผิวแห้ง ให้ผสมไข่แดงลงไปด้วยเล็กน้อย) ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยนำอุ่น ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว

สูตรมาร์คหน้าเพื่อผิวกระชับ

ส่วนผสม
- มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำอุ่น
วิธีทำ
เทน้ำอุ่นช้าๆ ลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนให้เข้ากันจนข้น ก่อนมาร์คหน้าให้ใช้ครีม หรือเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าบางเบาให้ทั่ว จากนั้นใช้พู่กันจุ่มมันฝรั่งข้นทาทั้งใบหน้าและลำคอ (ยกเว้นรอบดวงตาและลำคอด้านหลัง) ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ใช้ผ้าอุ่นประคบใบหน้าให้มาร์คอ่อนตัว (จนกว่ามันฝรั่งจะนิ่ม) แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น แต่การมาร์คสูตรนี้จะทำให้ผิวแห้ง ดังนั้นไม่ควรมาร์คหน้าด้วยมันฝรั่งบ่อยเกินไป สักเดือนละ 2 ครั้งก็พอ

สูตรสำหรับผิวธรรมดา/ผิวมัน

ส่วนผสม
- เนื้อแตงกวา (ปั่นแยกน้ำ) 1 ถ้วย
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
- เมล็ดงา 1 ช้อนชา
- จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันนำมาทาผิวในลักษณะวนเป็นวงกลม เมื่อส่วนผสมใกล้แห้ง ค่อยๆ ขัดออกเบาๆ เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าออกแล้วล้างตัวด้วยน้ำอุ่น

 

 

guest

Post : 2012-05-04 19:08:51.0     Forum: สาระน่ารู้  >  สุดยอดเครื่องสำอาง 5 ชิ้น

 1. รองพื้นเนื้อบางเบา (Sheer Foundation) เป็นชนิดที่เกลี่ยง่ายและช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ไร้ที่ติ แต่นอกจากสูตรบางเบาแล้ว ควรเลือกชนิดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารป้องกันแสงแดดด้วย

2. คอลซีลเลอร์ ควรใช้ชนิด (Concealer) ควรใช้ชนิดน้ำสำหรับบริเวณใต้ตาในปริมาณน้อยๆ เพื่อให้เกลี่ยง่าย และควรเลือกชนิดที่มีคุณสมบัติปกปิดจุดด่างดำ และลดเลือนริ้วรอยบริเวณดวงตาได้ ส่วนผิวที่มีปัญหามากๆ ให้ใช้คอลซีลเลอร์ชนิดครีมเกลี่ย เฉพาะจุด ที่จำเป็นต้องปกปิด

3. แป้งฝุ่นไม่ออกสี (Translucent Powder) หรือแป้งฝุ่นเนื้อโปร่้งแสงสำหรับใช้หลังจากรองพื้น หรือแม้แต่ใช้เดี่ยวๆ ก็ช่วยให้ใบหน้าคุณดูเนียนและสดใสเหมือนได้พักผ่อนมาเต็มที่ และยังช่วยให้ คอลซีลเลอร์ติดทนขึ้นด้วย แต่ควรใช้กับพัฟฟ์กำมะหยี่นุ่มๆ แบบมืออาชีพ ซึ่งคุณอาจแยกซื้อต่างหากเพื่อให้ได้ขนาดพอเหมาะก็ได้

4. ที่ปัดแก้มเนื้อครีม ฉันแนะนำแบบเนื้อครีมเพราะใช้ง่ายมาก แค่คุณแต้มลงบนแก้มและใช้ปลายนิ้วเกลี่ย ซึ่งฉันเชื่อว่าจะทำให้ผิวดูมีสีเลือดฝาดสวยกว่าการใช้ที่ปัดแก้มแบบฝุ่น สำคัญคือ ต้องใช้บลัชเนื้อครีมในปริมาณน้อยๆ เพราะนั่นเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้ผิวแก้มคุณดูสุขภาพดีกว่าและฉ่ำกว่าการใช้บลัชแบบอื่น

5. มาสคาร่าสีดำ คุณจะใช้สายตายั่วหรอก หรือเย้ายวนยังไงก็ได้ แต่อย่าปล่อยให้ขนตาปราสจากมาสคาร่าเด็ดขาด เพราะนี่ละ อาวุธที่แสนเย้ายวนชิ้นเยี่ยมของคุณ

1